www.engineering-thailand.com
19
'20
Written on Modified on
Seco Tools
วิธีนำความยั่งยืนไปใช้กับการผลิต
ธุรกิจในปัจจุบันเชื่อมโยงคำว่า “ยั่งยืน” กับผลิตภัณฑ์และกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่ของกินของใช้ไปจนถึงการใช้พลังงานและสถาปัตยกรรม สิ่งที่ธุรกิจมุ่งเน้นให้ความสำคัญคือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการปกป้องสิ่งแวดล้อมของโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อจำกัดความให้แคบลง การตัดเฉือนในการผลิตต่างแสวงหารูปแบบของความยั่งยืนอยู่เสมอ การตัดเฉือนผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปย่อมช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสร้างผลกำไรและการดำรงอยู่ของผลิตภัณฑ์ในฐานะธุรกิจไว้ได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ผลิตได้ค้นหาวิธีในการทำให้กระบวนการตัดเฉือนมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ายิ่งขึ้น ความพยายามต่างๆ นั้นเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเครื่องจักรในการผลิตขั้นสูงและแม่นยำ เครื่องมือตัดที่ได้รับการปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการตัดโดยรวมให้เหมาะสมที่สุด โดยมีกลยุทธ์เฉพาะต่างๆ ได้แก่ การตัดเฉือนด้วยความเร็วสูง การตัดเฉือนอัตราการป้อนสูง การตัดเฉือนประสิทธิภาพสูง และการตัดเฉือนแบบดิจิตอล
แนวคิดริเริ่มเมื่อไม่นานมานี้ที่เรียกว่าการตัดเฉือนอย่างยั่งยืนมีเป้าหมายที่จะลดการบริโภควัตถุดิบ การใช้พลังงานและการสร้างขยะตลอดวงจรอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ให้อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับที่สมดุลกับขีดความสามารถในการรองรับของโลกของเรา บ่อยครั้งที่การอภิปรายทั่วไปเกี่ยวกับความยั่งยืนจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมขนาดใหญ่ระดับโลก แต่กลับมองข้ามองค์ประกอบพื้นฐานด้านราคา ต้นทุน ความพึงพอใจของลูกค้า ความรู้ด้านกระบวนการ และความน่าเชื่อถือ เมื่อกล่าวถึงความยั่งยืนในการตัดเฉือน ความสำเร็จที่แท้จริงจะเริ่มต้นด้วยขั้นตอนและการวิเคราะห์ง่ายๆ ตรงไปตรงมา
การกำหนดราคาที่ยั่งยืน
ทุกธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายในการกำหนดราคาที่ยั่งยืนสำหรับสินค้าหรือบริการ ราคาจะต้องสูงพอที่จะครอบคลุมต้นทุนและสร้างกำไร แต่ต่ำพอที่จะไม่ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนไปหาคู่แข่ง ผู้ผลิตสามารถตั้งราคาให้สูงขึ้นได้หากลูกค้าเห็นว่าผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพียงพอสมกับสิ่งที่จ่ายไป
ในทางกลับกัน หากแรงกดดันจากลูกค้าและคู่แข่งส่งผลให้กำหนดราคาต่ำเกินไป อัตรากำไรจะลดลง เมื่อราคาต่ำกว่าต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์ ย่อมส่งผลให้เกิดการขาดทุน หากแรงกดดันจากการแข่งขันผลักดันราคาให้ต่ำเกินไป การออกแบบและการตัดเฉือนผลิตภัณฑ์เหล่านั้นต้องหาวิธีที่จะผลิตสินค้าให้ถูกลง รวดเร็วขึ้น และดีขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิตและส่งเสริมอัตรากำไรที่ยั่งยืน
ต้นทุนที่มองไม่เห็น
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจส่วนใหญ่จะไม่เห็นชัดเจนว่าจุดใดที่ต้นทุนหยุดลงและผลกำไรเริ่มต้น นั่นเป็นเพราะต้นทุนที่แท้จริงเองก็ไม่ชัดเจน ปัจจัยที่ซ่อนอยู่ ถูกละเลย หรือไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณต้นทุน ต้นทุนที่มองไม่เห็นโดยทั่วไป ได้แก่ ระยะเวลาหยุดทำงานที่ไม่ได้วางแผนไว้ ชิ้นงานที่ถูกปฏิเสธ และเครื่องมือที่เสียหาย ต้นทุนเหล่านี้ไม่ได้รับการมองว่าเป็นต้นทุนหรือเป็นต้นทุน “ที่แท้จริง” ความคิดเห็นหรือทัศนคติที่ส่งผลให้ปัจจัยด้านต้นทุนบางประการกลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับพนักงานฝ่ายการผลิต แต่อาจมีอยู่ทั่วบริษัท
การสร้างโครงสร้างต้นทุนที่ยั่งยืนจำเป็นต้องทำให้สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นปรากฏขึ้นให้เห็นได้ พนักงานฝ่ายการผลิตต้องตรวจสอบและประเมินกระบวนการตัดเฉือน รวมถึงโครงสร้างและขั้นตอนของกิจกรรมโดยรวมขององค์กร เพื่อเผยให้เห็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่
ความพึงพอใจของลูกค้า
ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นองค์ประกอบสำคัญของความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ลูกค้าต้องการทราบว่าจะได้รับสินค้าเมื่อใด ในความคิดของลูกค้า ระยะเวลาในการผลิตจะเริ่มขึ้นเมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้า และระยะเวลาในการผลิตนี้ไม่ใช่เวลาในการผลิตเพียงอย่างเดียว ถ้าการตัดเฉือนชิ้นส่วนต้องใช้เวลาในกระบวนการสามสัปดาห์ แต่สุดท้ายกิจกรรมการบริหารจัดการกลับใช้เวลาอีกสองสัปดาห์ โรงงานต้องซื่อสัตย์กับตัวเองและกับลูกค้า และระบุว่าระยะเวลาในการผลิตคือห้าสัปดาห์ ซัพพลายเออร์อุปกรณ์เครื่องมืองานโลหะ รวมถึง Seco Tools ได้ให้บริการด้านการจัดการสินค้าคงคลังเครื่องมือ การระบุเครื่องมือ และระบบการตรวจสอบเครื่องจักร ซึ่งช่วยให้บุคลากรของโรงงานสามารถติดตามงานของลูกค้าและเพิ่มความสามารถของโรงงานในการบรรลุเป้าหมายระยะเวลาในการผลิตและรักษาความพึงพอใจของลูกค้า (ดูแถบด้านข้าง)
ความสูญเปล่าและการวัด
การผลิตที่มีประสิทธิภาพช่วยลดเวลา พลังงาน และวัตถุดิบที่เสียไป ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งเหลือทิ้งจากการตัดเฉือน เช่น เศษตัด น้ำมันที่ใช้ในการตัด และน้ำหล่อเย็น ต่างมีความซับซ้อน โดยทั่วไปแล้ว ผู้ผลิตจะถือว่าสิ่งเหลือทิ้งเป็นผลลัพธ์จากกระบวนการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และเชื่อว่าเปลี่ยนแปลงให้สำเร็จได้ยาก จึงมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ทัศนคติของแวดวงอุตสาหกรรมการตัดเฉือนส่วนใหญ่คือ “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ก็แค่สิ่งที่ต้องคอยรับมือ”
การลดของเสียและการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคุณลักษณะของวัสดุชิ้นงานและกระบวนการตัดเฉือน การได้รับความเข้าใจนั้นเกี่ยวข้องกับการวัดปัจจัยกระบวนการที่แม่นยำเพื่อกำหนดสิ่งที่กำลังทำอยู่จริงและสิ่งที่เป็นผลลัพธ์จริง ความแม่นยำที่แท้จริงจะหลีกเลี่ยงการใช้ตัวเลขโดยประมาณ เพราะตัวเลขโดยประมาณมักแสดงถึงความรู้ที่ไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับกระบวนการที่มีอยู่ และเป็นอุปสรรคต่อการกำหนดผลลัพธ์ที่ถูกต้องเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง หากโรงงานอ้างว่าประสิทธิภาพในการผลิตอยู่ที่ “สูงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์” นั่นหมายถึง 61 เปอร์เซ็นต์หรือ 95 เปอร์เซ็นต์กันแน่ เพราะทั้งคู่ต่างก็สูงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ในทำนองเดียวกัน ความเร็วในการตัดที่บอกว่า “ประมาณ 200 เมตร/นาที” ก็เป็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ ตามความเป็นจริงแล้ว ความเร็วดังกล่าวน่าจะเป็น 195 เมตร/นาที หรือ 206 เมตร/นาทีมากกว่าจะเป็นตัวเลขโดยประมาณ
ในกรณีหนึ่ง เจ้าของโรงงานเชื่อว่าโรงงานของเขาใช้ 70 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลขโดยประมาณ) ของระยะเวลาที่มีอยู่ในการตัดเฉือน การวัดอย่างรอบคอบระบุว่าอัตราการใช้งานจริงอยู่ที่ 34 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น กล่าวง่ายๆ คือในบรรดาเครื่องจักรทั้งสามเครื่องในโรงงานนั้น เครื่องหนึ่งจะทำงานและอีกสองเครื่องไม่ได้ทำงาน ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้ว การวัดที่ไม่มีกฎเกณฑ์ (การคาดเดา) ของเจ้าของโรงงานจึงไม่มีประโยชน์
เงินเดือนและความยั่งยืน
ในการวิเคราะห์ความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนด้านแรงงานโดยรวม การประเมินความสามารถในการผลิตของแรงงานควรตัดต้นทุนเงินเดือนออกไป ความสามารถในการผลิตของแรงงานเท่ากับผลประกอบการของการผลิต หักด้วยต้นทุนของสินค้าและบริการที่จัดซื้อ หารด้วยจำนวนพนักงาน และหารด้วยหน่วยเวลา
สูตรนี้จะวัดความสามารถในการผลิตของแรงงานโดยไม่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนด้านแรงงาน และทำให้สามารถเปรียบเทียบความสามารถในการผลิตของแรงงานระหว่างประเทศหรือธุรกิจต่างๆ ที่มีระดับเงินเดือนแตกต่างกันได้ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น เงินเดือนของผู้ปฏิบัติงานเครื่องจักรที่มีทักษะในประเทศตะวันตกอาจเป็นสิบเท่าของผู้ปฏิบัติงานในประเทศที่มีเงินเดือนต่ำกว่า แต่ความแตกต่างนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความสามารถในการผลิตที่แท้จริง มีความเป็นไปได้ที่ผู้ปฏิบัติงาน 10 รายในประเทศที่มีเงินเดือนต่ำจะผลิตชิ้นส่วนได้น้อยกว่าโดยมีคุณภาพต่ำกว่าผู้ปฏิบัติงานเพียงคนเดียวในฝั่งตะวันตก
อย่างไรก็ตาม หากความสามารถในการผลิตของแรงงานที่แท้จริง (ตามที่วัดไว้ข้างต้น) ในประเทศที่มีเงินเดือนต่ำกว่าอยู่ในระดับเดียวกับประเทศตะวันตก การบรรลุถึงความสามารถในการผลิตที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจในประเทศตะวันตกจำเป็นต้องลงทุนด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและวิธีการผลิตและการศึกษาอย่างต่อเนื่องของพนักงานฝ่ายการผลิต
ความสามารถในการผลิตของแรงงานสูงแสดงให้เห็นว่าบุคลากรฝ่ายการผลิตมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำอยู่และมีความรู้และทักษะที่ครอบคลุม ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้เร็วขึ้น ตระหนักถึงความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ และได้รับความพึงพอใจในการทำงานยิ่งขึ้น สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่มีทักษะนั้น การตัดเฉือนเป็นเรื่องยุ่งยากเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ซึ่งมักประสบอยู่บ่อยครั้งในสถานการณ์การผลิตที่มีความหลากหลายสูงในจำนวนการผลิตต่ำอย่างของทุกวันนี้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์และขนาดล็อตจำนวนน้อยจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติงานที่มีทักษะและเชี่ยวชาญหลากหลายด้านย่อมสามารถปรับการทำงานได้อย่างรวดเร็วเพื่อขจัดปัญหาคอขวดและเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอื่นๆ
กระบวนการที่น่าเชื่อถือ
กระบวนการตัดเฉือนที่ยั่งยืนย่อมน่าเชื่อถือและคาดการณ์ได้ ทั้งยังลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ส่วนกระบวนการที่ไม่น่าเชื่อถือจะส่งผลให้เกิดชิ้นงานที่ต้องปรับปรุงแก้ไขหรือเกิดความเสียหาย ทั้งยังสิ้นเปลืองวัตถุดิบ พลังงาน และแรงงานที่ใช้ในการผลิตงานที่ถูกปฏิเสธ
ในทำนองเดียวกัน จากมุมมองด้านความยั่งยืน งานระหว่างทำ (WIP) เป็นความสูญเปล่าเป็นหลัก จากมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์ WIP ทำให้สูญเสียเงิน เสียเวลา และใช้พื้นที่อย่างสิ้นเปลือง นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้อยู่เสมอว่าชิ้นงานกัดกึ่งสำเร็จที่จัดเก็บไว้อาจได้รับความเสียหายขณะเคลื่อนย้ายผ่านระบบโลจิสติกส์ ดังนั้น โรงงานจึงควรมี WIP ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การลดการใช้พลังงาน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา การผลิตได้ค้นพบหนทางที่จะบรรลุถึงผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นโดยใช้พลังงานน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 โรงงานหลายแห่งมีเครื่องจักรที่มีกำลังไฟฟ้า 70 กิโลวัตต์หรือมากกว่า ในปัจจุบัน เครื่องกัดที่มีกำลังไฟฟ้า 7 กิโลวัตต์ได้ให้ความสามารถในการผลิตสูงกว่าเครื่องเหล่านั้นที่ใช้พลังงานมากกว่าถึงสิบเท่า กระบวนการตัดเฉือนที่ยั่งยืนช่วยลดการใช้พลังงานต่อลูกบาศก์มม. หรือลูกบาศก์นิ้วของวัสดุที่ถูกตัดเฉือนออก การลดการใช้พลังงานจะส่งผลให้สูญเสียพลังงานน้อยลงโดยอัตโนมัติ ทำให้การตัดเฉือนเป็นการทำงานแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
รูปที่ 3 แสดงการใช้พลังงานไฟฟ้าโดยเครื่อง Machining Centre ห้าแกนสำหรับหนึ่งวันทำงาน (ข้อมูลเหล่านี้รวบรวมมาจากเครื่องจักรเพียงหนึ่งเครื่อง และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงทั่วไป) น่าแปลกที่สปินเดิลหลักไม่ได้ใช้พลังงานส่วนใหญ่จากที่เครื่องจักรใช้ โดยทั่วไป มอเตอร์ขับสปินเดิลหลักและมอเตอร์ขับแกนหลักจะใช้พลังงานเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ระบบระบายความร้อนต่างๆ จะใช้ 44 เปอร์เซ็นต์ และปั๊ม หม้อแปลง การควบคุมเครื่องจักร และระบบอื่นๆ จะใช้พลังงานส่วนที่เหลือ ดังนั้น เมื่อเครื่องจักรไม่ได้ตัดเฉือน ระบบอื่นๆ ส่วนใหญ่ของเครื่องจักรจะยังคงใช้พลังงานต่อไป
การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มผลผลิตของผลิตภัณฑ์ได้อย่างมากโดยใช้พลังงานโดยรวมเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ในสถานการณ์แบบที่หนึ่ง การตัดเฉือนชิ้นส่วนจริงจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง หากต้องใช้เวลาหกชั่วโมงในการตั้งโปรแกรม ตั้งค่า และรอ เครื่องจะผลิตชิ้นส่วนได้สองชิ้นในแปดชั่วโมง ขณะที่เครื่องจักรกำลังตัดเฉือน การใช้พลังงานอาจถือได้ว่าเป็น 100 เปอร์เซ็นต์หรือเป็นหนึ่งหน่วยตามที่คาดไว้ งานตัดเฉือนใช้พลังงาน 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเครื่องจักรไม่ได้ตัดเฉือน เครื่องจึงใช้ไป 80 เปอร์เซ็นต์ของหน่วยพลังงาน ดังนั้น ปริมาณการใช้พลังงานโดยรวมของวันนี้จะเท่ากับ 6.8 หน่วยขณะที่เครื่องจักรผลิตชิ้นส่วนได้สองชิ้น
สถานการณ์แบบที่สองเป็นไปตามการวิเคราะห์กระบวนการโดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการกำจัดเวลาที่สูญเปล่า การวิเคราะห์ช่วยให้สามารถลดเวลาที่ไม่ได้ทำงานลงเหลือ 5 ชั่วโมงหรือลดลง 16.5 เปอร์เซ็นต์ได้ ตอนนี้มีเวลาในการตัดสามชั่วโมง ซึ่งทำให้สามารถผลิตชิ้นงานได้สามชิ้น การใช้พลังงานโดยรวมต่อวันคือ 7 หน่วย หรือมากกว่าในสถานการณ์แบบที่หนึ่งถึง 3 เปอร์เซ็นต์
การผลิตชิ้นงานหนึ่งชิ้นในสถานการณ์แบบที่หนึ่งนั้นต้องใช้หน่วยพลังงาน 3.4 หน่วย ในขณะที่ในสถานการณ์แบบที่สอง การผลิตแต่ละชิ้นงานต้องใช้พลังงาน 2.2 หน่วย การใช้พลังงานต่อชิ้นงานในสถานการณ์แบบที่สองลดลง 36 เปอร์เซ็นต์จากการใช้พลังงานในแต่ละวันที่เพิ่มขึ้นเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การผลิตชิ้นงานสามชิ้นในสถานการณ์แบบที่หนึ่งจะต้องใช้เครื่องจักรทำงานนานขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น การตัดเฉือนอย่างยั่งยืนไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานน้อยลง แต่ต้องผลิตได้มากขึ้นจากพลังงานที่ใช้ไป
บทสรุป
ผู้ผลิตต่างแสวงหาความยั่งยืนทางเศรษฐกิจมาโดยตลอดด้วยการตัดเฉือนผลิตภัณฑ์ที่มีราคาไม่แพงและมีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสนับสนุนและรักษาธุรกิจของตนได้ ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง แต่โดยทั่วไปแล้ว องค์ประกอบเหล่านี้เป็นสิ่งพื้นฐานและเข้าใจง่าย โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องกับการประเมินที่สมเหตุสมผล ตรงไปตรงมา และแม่นยำ และการกำจัดโอกาสที่เกิดความสูญเปล่าในทุกแง่มุมของกระบวนการผลิต
เพื่อบรรลุถึงความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ผู้ผลิตต้องรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถระบุและลดผลกระทบของการดำเนินงานที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและบรรลุถึงความยั่งยืนตามความรู้ความเข้าใจระดับโลก
(แถบด้านข้าง)
การวัดและความยั่งยืน
การจัดระเบียบและการวัดปัจจัยด้านกระบวนการและอุปกรณ์ถือเป็นขั้นตอนหลักในการขจัดความสูญเปล่าและบรรลุถึงกระบวนการตัดเฉือนที่ยั่งยืน เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าการสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานเกิดขึ้นที่ใด บุคลากรของโรงงานจำเป็นต้องทำงานกับตัวเลขและข้อเท็จจริงที่ชัดเจน แทนที่จะเป็นการคาดคะเนและตัวเลขโดยประมาณ
ในระดับพื้นฐานที่สุด บุคลากรฝ่ายการผลิตจะต้องทราบว่ามีเครื่องมือใดใช้ได้บ้างและเครื่องมืออยู่ที่ใดในโรงงานผลิต เมื่อไม่มีข้อมูลดังกล่าว พนักงานโรงงานจะเริ่มคาดเดา สันนิษฐานเอาเอง และตระเวนค้นหาเครื่องมือไปทั่ว ซึ่งพอจะเรียกสถานการณ์ดังกล่าวนี้ได้ว่าการตามล่าหาของในโรงงาน (workshop safari) เหล่าพนักงานล้วนทราบดีว่ามีเครื่องมืออยู่ในโรงงาน แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ใดกันบ้าง
Seco Tools มีระบบการระบุเครื่องมือและระบบการจัดการที่มุ่งหมายจะกำจัดการตามล่าหาของในโรงงานเช่นนี้ ตัวอย่างเช่น ระบบการจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management System) ของ Seco เป็นระบบจำหน่ายสินค้าในระดับอุตสาหกรรมที่มีความอเนกประสงค์สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายกับขั้นตอนการผลิตของโรงงานได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากได้รับการกำหนดค่าตามความต้องการด้านเครื่องมือแบบเฉพาะเจาะจงของโรงงานแล้ว ฝ่ายจัดการสินค้าคงคลังจะจัดทำรายงานที่ครอบคลุมโดยอัตโนมัติเพื่อติดตามการใช้เครื่องมือและระบุความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงปัญหาต่างๆ
นอกจากนี้ ยังจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระบุเครื่องมืออย่างถูกต้องในระหว่างที่ดำเนินการในกระบวนการผลิต การบ่งชี้ด้วยสายตาและการสัมผัสอาจไม่เพียงพอเมื่อมีเครื่องมือลักษณะคล้ายคลึงกันจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง Seco Tools ได้ร่วมมือกับ IDEM เพื่อนำเสนอระบบการบ่งชี้เครื่องมือแบบดิจิตอลเพื่อสร้างระบบที่ใช้ป้ายระบุตัวตนด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Identification - RFID) และเครื่องอ่านป้ายด้วยบลูทูธ ระบบนี้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเครื่องมือกว่า 900,000 รายการได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชัน IOS หรือ Android ในระบบ ข้อมูลที่ครอบคลุมประกอบด้วยข้อมูลจำเพาะของเครื่องมือและการจัดการประวัติเครื่องมือ รวมถึงมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ความสามารถในการสื่อสารเป็นกลุ่มสำหรับการแชร์ความคิดเห็นและรายละเอียดโครงการระหว่างผู้เข้าร่วมหลายคน บุคลากรโรงงานยังสามารถใช้เทคโนโลยี RFID เดียวกันนี้ในการระบุเครื่องมือการวัดและสินค้าอื่นๆ ในโรงงานได้อีกด้วย
การตรวจสอบเครื่องจักรแบบเรียลไทม์จะสนับสนุนความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ในแง่ที่ช่วยให้สามารถติดตามกระบวนการตัดเฉือนได้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนที่เกี่ยวกับองค์ประกอบด้านความพึงพอใจของลูกค้าในความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ การตรวจสอบจะช่วยให้บุคลากรโรงงานสามารถบอกลูกค้าได้ทันทีว่ารายการสั่งซื้อของลูกค้าอยู่ที่ระยะใดในกระบวนการผลิตและจะมีการจัดส่งเมื่อใด
สำหรับการตรวจสอบเครื่องจักร (Machine Monitoring) ของ Seco นั้น Seco Tools ได้ร่วมมือกับ MachineMetrics ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเครื่องจักร Industrial Internet of Things (IIoT) การตรวจสอบเครื่องจักรช่วยอำนวยความสะดวกในการสื่อสารผ่านอีเธอร์เน็ต, WiFi และเซลลูลาร์ในขณะเชื่อมต่อโดยตรงกับ PLC และอุปกรณ์ควบคุมของเครื่องจักร ส่วน I/O แบบดิจิตอลและอนาล็อกจะถูกกำหนดค่าและจัดการผ่านส่วนเชื่อมต่อทางเว็บ ระบบที่ใช้ Cloud นั้นใช้งานง่าย ปรับแต่งได้อย่างสมบูรณ์ และติดตั้งได้รวดเร็ว ระบบนี้จะจัดเก็บข้อมูลการตัดเฉือนและให้การวิเคราะห์การผลิตที่ช่วยให้ผู้ใช้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของตนและปรับปรุงการใช้งานและความสามารถของเครื่องจักร นอกจากนี้ ยังช่วยให้มีการโต้ตอบกับฐานข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศเครื่องมือตัดของ Seco เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับปรุงกระบวนการและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอายุการใช้งานเครื่องมือ การใช้ความเร็วและการป้อนที่เหมาะสม และการแตกหักของเครื่องมือ
โดย:
Patrick de Vos, ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผู้จัดการฝ่ายการศึกษาทางเทคนิคของ Seco Consultancy